More

ประชาสัมพันธ์ข้อมูลความรู้ โรงเรียนการเรือนประจำวันที่ 11 มิถุนายน 2567 เรื่อง….ปังๆปังๆ ขนมปังมีกี่ประเภท ? 1. ขนมปังผิวแข็ง  (Hard Bread/Lean Type Dough)ขนมปังนี้มีปริมาณน้ำตาลร้อยละ 0-2 และไขมันร้อยละ 0-3 ของน้ำหนักแป้งทั้งหมดในสูตร เป็นขนมปังที่มีลักษณะผิวและเนื้อขนมปังค่อนข้างแข็ง ได้แก่ ขนมปังฝรั่งเศสขนมเวียนนา ขนมปังอิตาเลียน ซึ่งมีรูปร่างเป็นท่อนกลมยาวหรือสั้น ถ้าเป็นก้อนกลมเรียกว่า ฮาร์ดโรล (HardRoll) ขนมปังประเภทนี้จะใช้แป้งที่มีปริมาณโปรตีนสูงเพื่อทนต่อการหมัก การพักตัว และการขึ้นฟูของโด.2.ขนมปังปอนด์  (Loaf Bread)ขนมปังนี้มีปริมาณน้ำตาลร้อยละ 3-10 และไขมันร้อยละ 3-6 ของน้ำหนักแป้งทั้งหมดในสูตร เป็นพวกขนมปังจืดต่าง ๆ มักใช้ทำแซนวิชชนิดต่าง ๆ ทำรูปร่างเป็นแท่งโดยใช้พิมพ์ขนาดยาวแคบ เพื่อบังคับรูปร่างและปริมาตรของโดให้เสมอกันทั้ง 2 ด้านเนื้อละเอียดนุ่มกว่าชนิดแรก ได้แก่ ขนมปังปอนด์แบบแถว หรือแบบหัวกะโหลก.3.ขนมปังซอฟโรล (Soft Roll)ขนมปังนี้มีปริมาณน้ำตาลร้อยละ 10-15 และไขมันร้อยละ 6-10 ของน้ำหนักแป้งทั้งหมดในสูตร ทำจากโดที่มีความเข้มข้นสูง ทำจากแป้งที่มีปริมาณโปรตีนปานกลาง ขนมปังที่อบได้จะมีรสหวาน นุ่ม และเนื้อละเอียด ได้แก่ ขนมปังใส่ไส้ชนิดต่าง…

เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง ตรงกับวันที่ 5 เดือน 5 ตามปฏิทินจันทรคติของทุกปี ซึ่งเทศกาลบ๊ะจ่างได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ (Intangible Cultural Heritage) ของ UNESCO ในปี ค.ศ. 2009

5ส ถูกใช้เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีในการทำงาน ประกอบไปด้วย 5 ข้อ ได้แก่ – ส-สะสาง แยกสิ่งต่างๆ ที่ต้องการจัดระเบียบ ระหว่าง “สิ่งจำเป็น” “สิ่งไม่จำเป็น” ว่าเกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงานหรือไม่ – ส-สะดวก (Seiton) นำสิ่งของที่สะสาง มาจัดวางเป็นระเบียบ โดยคำนึงถึงกระบวนการใช้งานและความปลอดภัย – ส-สะอาด (Seiso) ทำความสะอาดพื้นที่ เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมในการทำงานให้น่าอยู่ – ส-สุขลักษณะ (Seiketsu) รักษาสุขลักษณะในที่ทำงานอย่างสม่ำเสมอ โดยปฏิบัติตามหลัก 3ส. – ส-สร้างนิสัย (Shitsuke) ดำเนินการตาม หลัก 4ส อย่างต่อเนื่องจนเกิดความเคยชินเป็นนิสัย และเป็นมาตรฐานในการทำงาน 5ส เป็นเครื่องมือหนึ่งที่ช่วยเพิ่มผลผลิตในที่ทำงาน เมื่อสภาพแวดล้อมน่าอยู่ ประสิทธิภาพและผลผลิตงานจะดีขึ้น และช่วยในการแก้ปัญหาต่างๆ เช่น – เพิ่มพื้นที่การทำงาน ลดพื้นที่จัดเก็บ – เพิ่มความสะดวกและรวดเร็วในการทำงาน – ลดอุบัติเหตุและความเสี่ยงในการทำงาน และ – ช่วยเพิ่มขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงานจากสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตร

ในแต่ละวัน ร่างกายควรได้รับโซเดียมไม่เกิน 2,000 มิลลิกรัม โดยเทียบกับน้ำปลา คือ ไม่เกิน 4 ช้อนชา การ ‘กินเค็ม’ หรือได้รับโซเดียมจากอาหารมากเกิน อาจก่อให้เกิดโรคต่างๆ ได้ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคหัวใจ และหลอดเลือด เป็นต้น โดยปกติแล้วร่างกายจะได้รับโซเดียมจากเกลือ และโซเดียมยังแฝงอยู่ในอาหารอีกหลายประเภท เช่น เครื่องปรุงรสชนิดต่าง ๆ , อาหารแปรรูป/อาหารสำเร็จรูปแนวทางการปรับพฤติกรรมเพื่อลดการกินเค็มและโซเดียม1. เลือกรับประทานอาหารสดตามธรรมชาติ และเลือกใช้เครื่องปรุงรสให้น้อยที่สุด หรือเลือกเครื่องปรุงชนิดโซเดียมต่ำ (Low Sodium)2. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหมักดอง อาหารแปรรูป อาหารกึ่งสำเร็จรูป ขนมขบเคี้ยว และเบเกอรี่ ทุกชนิด3. ปรับนิสัยการรับประทานอาหาร ฝึกการรับประทานอาหารรสจืด เพื่อลดการเติมเครื่องปรุงรสต่าง ๆดังนั้น การลดการกินเค็มที่ดี คือ การปรับพฤติกรรมการกินให้เหมาะสม เน้นกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่กินอาหารรสจัด และควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี

” 3 สัญญาณ บ่งบอกอาการวัยทอง “ 1) มีอาการร้อนวูบวาบ อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด2) ช่องคลอดแห้ง ผิวหนังแห้ง ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ ความต้องการและความรู้สึกทางเพศลดลง3) โรคที่เกิดจากความเสื่อมถอยของร่างกายตามอายุ ได้แก่ โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะอ้วนลงพุง ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง การดูแลสุขภาพ1) กินอาหารให้ครบ 5 หมู่2) ลดอาหารประเภทแป้ง3) ออกกำลังกายเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อให้แข็งแรง4) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ5) รู้จักผ่อนคลายความเครียด ทำจิตใจให้แจ่มใส

เรื่องของเส้น ทุกวันนี้เส้นก๋วยเตี๋ยวถูกคนไทยเอาไปปรุงเป็นอาหารมากมาย ผสมผสานพหุวัฒนธรรมจนมีเส้นให้เลือกกินแยะไปหมด ทั้งเมนูเส้นแบบต้มหรือลวกกับน้ำซุป เช่น ก๋วยเตี๋ยวเรือ ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัย ก๋วยเตี๋ยวแคะ ก๋วยเตี๋ยวราดหน้า ฯลฯ และเส้นแบบผัดแห้ง เช่น ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ ผัดไทย ผัดซีอิ๊ว ฯลฯ เรากินเส้นกันบ่อยไม่แพ้ข้าว และเส้นที่เรากินบ่อยที่สุดก็คือเส้นก๋วยเตี๋ยว ได้แก่ เส้นใหญ่ เส้นเล็ก เส้นหมี่ เส้นบะหมี่ วุ้นเส้น เป็นต้น

5 ผลไม้สีแดง…ที่ดีต่อสุขภาพคุณแม่ ผลไม้สีแดง มีสารไลโคปีน ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระชั้นดี ที่ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็ง ป้องกันโรคหัวใจ ลดความดันโลหิต นอกจากนี้ยังช่วยในเรื่องของริ้วรอยอีกด้วย

มา เพิ่มไขมันดี และ ลดไขมันเลว กันดีกว่า ในร่างกายของเราประกอบไปด้วยไขมันหลายขนาด แต่ที่มักจะได้ยินกันบ่อย ๆ ก็คือ ไขมันดี ไขมันเลว โดยเฉพาะกับกลุ่มคนที่ตรวจสุขภาพเป็นประจำ อาจจะเคยโดนคุณหมอ ให้กลับมาควบคุมไขมันกันถ้วนหน้า ไขมันดี และ ไขมันเลว เกิดจากอาหารที่เราได้กินเข้าไปทั้งนั้น เราควรเลือกกินอาหาร และหมั่นตรวจวัดระดับไขมันอยู่เสมอ จะทำให้คุณมั่นใจว่า ไขมันดี และ ไขมันเลว ในร่างกาย อยู่ในปริมาณเหมาะสมไม่เสี่ยงต่อการเกิดโรค ไขมันเลว คือ ภัยร้ายใกล้ตัวคุณ มาลดความเสี่ยงจาก ไขมันเลว และเพิ่มไขมันดี ไปด้วยกัน

อาหารลดปวดกล้ามเนื้อช่วยลดอาการออฟฟิศซินโดรม ถั่วลันเตา อัลมอนด์ มีแมกนีเซียมสูงและโอเมก้า 3 สูง ช่วยซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดและอาการอักเสบ เสริมสร้างเซลล์และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ (ต้นมะพร้าว)น้ำมะพร้าว มีโพแทสเซียมสูง ช่วยป้องกันการเกิดตะคริวและช่วยอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย (แซลมอน)ปลาแซลมอน มีโปรตีน โอเมก้า 3 และสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดอาการเจ็บปวดบริเวณกล้ามเนื้อ และฟื้นฟูซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่สึกหรอจากการใช้งาน ทั้งนี้ควรกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ สิ่งสำคัญควรปรับปรุง เปลี่ยนแปลง แก้ไขท่าทางอิริยาบถต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันให้ถูกต้องเหมาะสม เปลี่ยนอิริยาบถบ่อย ๆเพื่อให้กล้ามเนื้อ ได้ผ่อนคลาย

กินทุเรียนดียังไง– เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรตชั้นเลิศ และช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกายแล้ว ก็ยังสงวนคุณค่าของโปรตีนไว้ไม่ให้เผาผลาญเป็นพลังงาน– ไขมันที่พบในทุเรียนคือไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยว ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดีและปรับสมดุลระดับความดันโลหิต– ทุเรียนอุดมด้วยกากใยอาหาร เป็นมิตรกับระบบขับถ่ายและช่วยดีท็อกลำไส้– อุดมไปด้วยวิตามินบี 9 ความพิเศษของวิตามินชนิดนี้คือมีส่วนช่วยในการชะลอความเเก่ และชะลอการเกิดผมหงอก– ทุเรียนมีวิตามินซีถึง 19.7 มิลลิกรัม โดยป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับระบบไหลเวียนของเลือด ต้านอนุมูลอิสระในร่างกาย– ทุเรียนเป็นแหล่งที่โพแทสเซียมจะมาชุมนุมถึง 436 มิลลิกรัม สารอาหารชนิดนี้ช่วยควบคุมโลหิตสูง ช่วยให้ออกซิเจนไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ ถ้ากินในปริมาณที่พอเหมาะ– ทุเรียนมีธาตุเหล็ก ช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดดี ช่วยป้องกันและรักษาภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ในขณะเดียวกันถึงทุเรียนจะรสชาติก็ถูกปาก ทั้งยังมีสารอาหารไม่น้อย แต่ต้องรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม ยิ่งผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจตีบโรคไต ควรระวังระวังเป็นพิเศษ หากรับประทานในปริมาณที่ไม่เหมาะสมอาจได้รับอันตรายถึงชีวิต